วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ


                          
 
                    ทำอย่างไรให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ


 
 
1. ลืมตัวเลขต่างๆที่ไม่สำคัญไปบ้าง รวมถึงให้ลืมตัวเลขเหล่านี้ อายุ, น้ำหนัก และ ความสูง

 
2. คบแต่เพื่อนๆที่สดใส ร่าเริง คนหดหู่ ซึมเศร้า มีแต่จะฉุดดึงคุณให้เศร้าไปตามๆกัน (และเตือนใจตัวเองข้อนี้ไว้เสมอ ถ้าคุณเป็นพวกหดหู่เสียเอง)

3. เรียนรู้อยู่เสมอ ใฝ่เรียนรู้เรื่องรอบๆตัว ทุกอย่าง เช่น คอมพิวเตอร์ งานฝีมือ งานทำสวน และอื่นๆ ระวังอย่าให้สมองเฉื่อยชา สมองเฉื่อยชาคือตัวการที่ร้ายกาจและตัวการทีร้ายกาจนั้นจะนำมาสู่ "โรคอัลไซเมอร์"

4. มีความสุขกับสิ่งง่ายๆ ในชีวิต

 
5. หัวเราะให้บ่อยๆ ยาวๆ ดังๆ จะแทบหายใจไม่ทัน ถ้าคุณมีเพื่อนที่ทำให้คุณหัวเราะได้แบบนี้นะ ใช้เวลาอยู่กับคนๆนั้นให้มากๆ


 
6. หาเวลาอยู่กับคนที่คุณรัก คนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว สัตว์เลี้ยง ของที่ระลึก เพลง ต้นไม้ งานอดิเรก อะไรก็ได้ที่ทำให้เวลาเหล่านั้นเป็นเวลาที่คุณได้พักผ่อนและผ่อนคลายจริงๆ แล้วหาเวลาเข้าวัด ไหว้พระบ้างก็ดีนะ


 
7. เมื่อมีน้ำตา อดทนไว้ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า คนเดียวที่จะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิตก็คือ ตัวคุณนั่นเอง เพราะฉะนั้น จงใช้ชวิตทั้งหมดของคุณให้คุ้มค่า ตราบเท่าที่คุณยังมีลมหายใจอยู่

 
8. รักษาสุขภาพของคุณให้ดี ถ้าสุขภาพยังดีอยู่ ให้รักษามันให้ดีไปเรื่อยๆ ถ้าสุขภาพไม่เข้าที่เข้าทางนัก ให้ซ่อมแซมเสีย และถ้าอะไรๆ ชักจะเกินความสามารถ ก็ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง 

 
9. ไปท่องเที่ยวเสียบ้าง (แต่เฉพาะในที่ที่ควรไปนะ) ไปเที่ยวเสียบ้าง ไปเดินห้าง ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือ ไปต่างประเทศ แต่ต้องไปที่ดีๆนะ


10. บอกคนที่คุณรักว่า คุณรักเขา ทุกครั้งที่มีโอกาส

 
  
                           

                                   
                                  credit : Hero in Shadow






กินแบบโอกินาวา สุขภาพดี



ซูชิ อาหาร ญี่ปุ่น


         กินแบบโอกินาวา  ชาวโอกินาวาของญี่ปุ่นได้ชื่อว่าอายุยืนมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเพราะอาหาร พวกเขากินอย่างไรจึงอายุยืนยาว คอลัมน์ Wellbeing & Health นิตยสาร โมเดิร์น มัม ฉบับ ก.ค. รวบรวมไว้ดังนี้


       ชาวโอกินาวามีคำพูดติดปากเสมอว่า กินอาหารเป็นยา จึงต้องคิดให้รอบคอบก่อนกิน  ไม่ตามใจปาก ไม่งดกินโน่นกินนี่ แต่ละเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนอย่างเหมาะสมในแต่ละมื้อ ชาวโอกินาวามีวัฒนธรรมการกินอาหารเกือบอิ่มหรือที่เรียกว่า ฮาราฮาชิบุ คือ กินประมาณ  4 ใน 5 ส่วน ของท้องหรือประมาณ 1,800 กิโลแคลอรี่ (เทียบกับชาวตะวันตกโดยทั่วไปบริโภควันละ 2,500 กิโลแคลอรี) ซึ่งพอนั่งสักครู่จะรู้สึกอิ่มโดยธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารไม่ทำงานหนักเกินไป

        ชาวโอกินาวากินข้าวแต่ละคำช้า ๆ เคี้ยวนาน ๆ ทำให้รับรู้รสชาติอาหารได้ดีและช่วยให้ไม่กินมากเกินไป ลดการกินไขมันแทนการลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่อ่อนล้าง่าย อาหารแต่ละมื้อมีวิตามินอีมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อสมองจึงเป็นโรคเบาหวานและอัลไซเมอร์กันน้อยมาก

         อาหารที่ชาวโอกินาวากินมีพืชผักสมุนไพร  7  ส่วนเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อ  ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ เช่น ขมิ้น สะระแหน่ งา พริก พริกไทย  เป็นต้น ชาวโอกินาวากินเกลือน้อยมาก วันละไม่ถึง  3  ช้อนชา  ช่วยลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ดี กินมิโซะก่อนกินอาหารทุกมื้อ ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้กินอาหารอย่างอื่นได้ไม่มากและไม่อ้วน


หนังสือพิมพ์ข่าวสด คอลัมน์การตลาด

6 อาหาร เพื่อฟันสวย





ฟันสวย


    นอกจากการแปรงฟัน งดกินอาหารจำพวกของหวานแล้ว 6 อาหารเหล่านี้ คือ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ฟันแข็งแรงทนทาน

1. แอปเปิ้ล รสหวานลิ้น ไม่เหนียว ช่วยเรียกน้ำลายได้ดี เพราะน้ำลายคือ กลไกธรรมชาติที่ร่างกายใช้ชะล้างเศษอาหารและปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในปาก

2. แครอท ความกรอบจะช่วยให้เหงือกสะอาดและฟันแข็งแรง ช่วยกำจัดเศษอาหาร มีเส้นใยช่วยให้ปากสะอาด ช่วยเรียกน้ำลาย

3. แครนเบอร์รี่ มีสารประกอบที่สามารถป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดฟัน และสกัดกั้นการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์

4. กีวี เป็นหนึ่งในสิบของสุดยอดอาหารเพื่อความงาม มีวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงฟัน

5. ลูกเกด คืออาหารที่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยด์ในชิคาโก สหรัฐอเมริกาพบว่า มีกรดโอเลียโนอิก ซึ่งเป็นสารพฤษเคมีที่การทดลองในห้องแล็ปพบว่า ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก โดยกรดโอเลียนิกที่ความเข้มข้น 31 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยป้องกันแบคทีเรีย เอส.มิวแทนส์ไม่ให้เกาะผิวฟัน และที่ความเข้มข้น 62 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อพอร์ฟีโรโมนาส กิงกิแวลิส อันเป็นตัวการสำคัญของโรคเหงือกอักเสบ

6. วาซาบิ ซึ่งจากผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า วาซาบิมีสารไอโซธิโอเซียเนต ซึ่งยับยั้งการเติบโตของเชื้อ เอส.มิวแทนส์

ที่มาจาก ชีวจิต
 

วิธีลดเมื่อยข้อ

4 วิธีลดเมื่อยข้อ ระหว่างนั่งโต๊ะ


นั่งเล่น


     ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงาน หรือเรียนหนังสือเป็นเวลานาน ล้วนทำให้ข้อต่างๆ ของร่างกายถูกใช้งานหนักจนเมื่อยล้า เมื่อยนักพักมาใช้วิธีต่อไปนี้กันนะคะ

1. วางแขนพอดีกับหัวใจ จดหรือพิมพ์งานโดยให้แขนอยู่ในระดับเสมอกับหัวใจ ซึ่งไม่อยู่สูงหรือต่ำเกินไป จะช่วยลดการงอข้อศอกผิดท่า และทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

2.ใช้สูตร 30/5 เมื่อใช้มือและแขนทำกิจกรรม 30 นาที ควรพักทำอย่างอื่นสัก 5 นาที เช่น ยืดและกำนิ้วมือ การเปลี่ยนท่าทางจะช่วยลดอาการเมื่อยข้อนิ้ว ข้อมือ และข้อศอก 

3.ถอดรองเท้าส้นสูง การใส่รองเท้าส้นสูงทำให้น้ำหนักตัวกดลงที่ปลายเท้ามากกว่าปกติ ควรเปลี่ยนใส่รองเท้าส้นเตี้ย เพื่อผ่อนแรงกดจากน้ำหนักตัว และช่วยคลายเมื่อยข้อเท้า

4.ประคบเย็น หากมีอาการปวดเมื่อยข้อ แนะนำให้ประคบด้วยผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง หรือถุงประคบเย็น (เจล) บริเวณข้อที่ปวดเมื่อย ความเย็นจะทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งช่วยลดอาการปวดข้อ โดยเฉพาะชนิดเฉียบพลัน
ไม่อยากปวดเมื่อยข้อ ก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ

ที่มาจาก ชีวจิต

วิธีแก้ รองเท้า ขึ้นรา




รองเท้า


       ใช้สำลีหรือผ้าชุบน้ำ เช็ดล้างทำความสะอาด หลังจากนั้นลงครีมขัดเงา

    ตากแดดจัดทิ้งไว้สักพักแล้วนำกลับมาลงครีมขัดเงารอบ 2 ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วขัดเงา

    สำหรับรองเท้าที่ขึ้นรา ต้องหมั่นนำออกตากแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ต่อครั้ง

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝน อากาศชื้นต้องระวังเป็นพิเศษ

    เพราะรองเท้าที่เคยขึ้นราแล้ว จะกลับมาขึ้นราอีกได้

ทำไมต้องกิน “ข้าวกล้อง”




ข้าวกล้อง
ข้าวกล้อง





     เนื่องจากข้าวผ่านการขัดสีนั้น ทำลายเนื้อเยื่อของเมล็ดข้าวที่อยู่ใต้เปลือกข้าว ซึ่งมีโปรตีนและธาตุต่างๆเจือปนอยู่ รวมทั้งรำข้าวที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 วิตามินอี ฟอสฟอรัส ทองแดง เหล็ก และไขมัน
    ดังนั้น เมื่อคุณกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ คุณได้. วิตามินบี 1 บี 6 ได้แพนโทเทนิกแอซิด (บี 5) ได้แพงกามิกแอซิด (ตัวนี้แก้เหนื่อย แก้เพลีย ทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาว แก้โรคหัวใจ โรคหอบหืด) มีไนอะซิน (แก้ปวดหัวไมเกรน ทำให้ผิวดี) มีพาบา (paba) มีไบโอติน (biotin) ตัวนี้ช่วยให้ผมดกดำ มีไอโนซิโตลนคอริน (ช่วยเรื่องตับ แก้เรื่องโรคตับและตับแข็ง) มีวิตามินอี (E) มีน้ำมันชนิดดี linoleic ช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยแก้โรคหัวใจ มีโฟอิกแอซิด ซึ่งช่วยบำรุงเลือด และที่สำคัญมี DNA/RNA

    นอกจากนั้น ในข้าวกล้องยังอุดมไปด้วยกากอาหาร ที่ช่วยในระบบการย่อยอาหาร ดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่ แถมยังช่วยให้ของเสียเคลื่อนตัวจากลำไส้ได้ดีขึ้นด้วย ทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่ากินข้าวกล้องเท่าไรก็ไม่ทำให้อ้วน

ที่มาจาก นิตยสารชีวจิต
 

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

3 วิธีไดเอทแบบ ล้างพิษ



ผัก อาหาร


        เมื่อร่างกายได้รับการล้างพาออกไปจะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานดีขึ้น ซึ่งระบบเผาผลาญก็เช่นกัน ดังนั้นทำให้ คุณผู้หญิงสามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าเดิม
        และนี่คือการไดเอทแบบล้างพิษ แต่ก็มีทั้งข้อดี และข้อเสียที่สาว ๆ ควรทราบไว้ก่อนจะตัดสินใจทำ โดยมีด้วยกัน 3 วิธีดังต่อไปนี้

     Cleanse Diet
        คือการกินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเมนูเดียวตลอดวัน เช่น ถ้ากินฟักทองต้มก็ต้องกินฟักทองทั้งวัน วันรุ่งขึ้นกิน แกงจืดก็ต้องแกงจืดอย่างเดียว อีกวันกินแอปเปิ้ลก็ต้องแอปเปิ้ลทั้งวัน เป็นต้น
           ข้อดี ของวิธีนี้คือ ผอมแน่ ๆ ต่อให้คุณเป็นคนผอมยากขนาดไหน ยังไง ๆ วิธีนี้ก็เอาอยู่
           ข้อเสียคือ ทำยาก และ น้ำหนักที่หายไปก็ไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำและกล้ามเนื้อมากกว่า ถ้าไม่ออกกำลังกายร่วมด้วย ผิวพรรณจะเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด และถ้ากลับมากินอาหารตามปกติ น้ำหนักก็จะกลับมาใหม่


     Row Food Diet
         คือการกินแต่ของดิบ ๆ เท่านั้น เช่น ปลาดิบ ผักสด ผลไม้สด โดยอาจจะทำตารางรายการอาหารให้ตัวเองไปเลยว่า มื้อ เช้ากินปลาดิบกับสลัดผลไม้ มื้อกลางวันกินสลัดผักจานโต ๆ พอมาถึงมื้อเย็นก็กินแต่ผลไม้รวมมิตร หรือถ้าเบื่อผักสดจะใช้วิธีนึ่ง ต้ม หรือตุ๋นก็ได้ แต่ต้องใช้ความร้อนไม่เกิน 100 องศา เพื่อรักษาคุณค่าอาหารของผักเอาไว้
           ข้อดี คือ ได้เส้นใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานใกล้เคียงกับการกินข้าว และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี จึงช่วยขจัด ไขมันออกไปได้มาก คนที่ทำวิธีนี้จะรู้สึกว่าผอมลงตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ลงมือทำ
           ข้อเสีย คือ รสชาติของอาหารไม่หลากหลาย ทำให้เบื่อง่าย


     Master Cleanse Diet
         คือ ต้องไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำเปล่าบีบมะนาว น้ำแกงจืด น้ำผลไม้ และสารพัดน้ำอื่น ๆ ตามใจชอบ
           ข้อดี ของวิธีการนี้คือ น้ำหนักจะลดลงไป 2 – 3 กิโลภายในหนึ่งอาทิตย์ แถมยังช่วยล้างสารพิษที่หมักหมมในร่าง กายอย่างได้ผลด้วย
           ข้อเสีย ก็คือ ทำยากมากถึงมากที่สุด และสาว ๆ จะมีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด เครียดอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญคือน้ำหนักที่ถูกกำจัดไปนั้นไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นแค่น้ำกับกล้ามเนื้อเท่านั้น เมื่อไรที่คุณตบะแตกกลับไปทาน อาหารตามปกติ น้ำหนักที่หายใจก็จะดีดตัวกลับมาใหม่ทันทีค่ะ


ที่มาจาก Woman’s Story

คลอรีน ในสระว่ายน้ำกับ ปัญหาสุขภาพ


สระน้ำ


       สระว่ายน้ำ ที่มีอยู่ตามโรงแรม สถานศึกษาหรือหมู่บ้านชุมชนใหญ่ ๆ มีความจำเป็นสำหรับการออกกำลังกายของผู้ชอบกีฬาว่ายน้ำ หรือไว้ใช้ฝึกซ้อมสำหรับนักกีฬาว่ายน้ำ ทำให้สระว่ายน้ำมีผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสปนเปื้อนด้วยจุลินทรีย์จากร่างกายของผู้มาใช้บริการค่อนข้างมากด้วย ได้มีการนำสารประกอบคลอรีนมาใส่ในสระว่ายน้ำเพื่อฆ่าจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งนี้ปริมาณคลอรีนในสระว่ายน้ำที่ใช้จะมีปริมาณ 0.6 1.0 ส่วนในล้านส่วน แต่ในปัจจุบัน ผู้ดูแลสระว่ายน้ำได้นำคลอรีนมาใส่ในปริมาณมากเกินไป หรือนำสารประกอบคลอรีนอื่น ๆ มาใช้ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้บริการได้ง่าย


       เมื่อไม่นานมานี้ทันตแพทย์หญิงจันทนา อี้งชูศักดิ์ กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และคณะนักวิจัยจากกองทันตสาธารณสุขได้ร่วมกับโรงเรียนการกีฬาจังหวัดขอนแก่น ได้ให้ข้อมูลในผลการวิจัย เรื่อง ภาวะฟันกร่อนในผู้ว่ายน้ำ โดยการตรวจสภาพฟันกร่อนของนักกีฬาว่ายน้ำจากโรงเรียนการกีฬาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 18 คน พบว่าทุกคนมีสภาพฟันกร่อนอย่างรุนแรง เนื่องจากนักกีฬาว่ายน้ำได้สัมผัสกับน้ำในสระว่ายน้ำที่มีความเป็นกรดสูงเป็นเวลานาน เพราะสระว่ายน้ำดังกล่าวได้ใช้สารประกอบเคมีของคลอรีนที่เรียกว่า กรดคลอโรไอโซไซยานูริก หรือคลอรีน 90 % มาใช้ทำลายจุลินทรีย์หรือเชื้อโรค โดยที่คลอรีนดังกล่าวมีราคาถูก ยับยั้งการเจริญของตะไคร่น้ำได้ ทำให้น้ำใส แต่ปริมาณคลอรีนจะตกค้างในน้ำได้เป็นเวลานาน ทำให้สระน้ำมีความเป็นกรดเป็นเวลานานตามไปด้วย

      สำหรับภาวะการณ์เกิดฟันกร่อนเป็นการสูญเสียเนื้อเยื่อแข็งของฟันเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมี ตามปกติแล้วถ้ารักษาฟันไม่สะอาดก็จะมีจุลินทรีย์มาเจริญปกคลุมเนื้อเยื่อฟันที่เรียกว่าแผ่นคราบจุลินทรีย์ จุลินทรีย์เหล่านี้จะเจริญและสร้างกรดออกมาทำลายสารเคลือบฟัน ทำให้สารเคลือบฟันบางลงเรื่อย ๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ไปนาน ๆ จึงเกิดสภาพฟันกร่อนขึ้นมา อาการที่ปรากฏก็คือการเสียวฟันอยู่เสมอ ๆ

    
      ถ้าท่านเป็นนักกีฬาว่ายน้ำหรือเป็นผู้ที่มาใช้บริการสระว่ายน้ำเป็นประจำ ก็ควรจะได้มีการตรวจสุขภาพฟันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟันกร่อนได้ง่าย การตรวจสุขภาพฟันดังกล่าวจะทำให้ทราบว่ามีการเกิดภาวะฟันกร่อนหรือไม่ ถ้าหากพบว่ามีภาวะฟันกร่อนจะต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วนเพื่อลดอาการเสียวฟัน จะช่วยให้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย

ที่มาจาก สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา

กินของหวาน อย่างไรไม่อ้วน




ไดฟุกุ


       สาวๆ หลายคนชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ แต่จะกินอย่างไรถึงจะรักษารูปร่างได้เพรียวสวย เรามีเคล็ดวิธีเลือกกินของหวาน ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยากมาบอกต่อค่ะ

       รู้ปริมาณแคลอรี ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกินหรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

      ลดแคลอรี การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

     ควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

     ดื่มชาเขียวหรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน

     15 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย

     30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกายควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผา ผลาญควบคู่ไปด้วย

     งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน


ขอบคุณข้อมูลจาก momypedia

อาหารโซเดียมสูง ที่ต้องระวัง!!

 อาหาร โซเดียม







ขอบคุณเนื้อหาจาก นิตยสาร Shape

10 ของใช้ใกล้ตัว น่ากลัวติดโรค



ของใช้

 
……..สุขภาพที่เจ็บป่วยอย่างไม่รู้สาเหตุ แท้ที่จริงไม่ต้องคิดหาคำตอบให้ยาก เพราะต้นตอกลับอยู่ที่ของใช้ใกล้ตัว ที่ผู้ใช้ขาดการรักษาความสะอาด
……..ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพต้องลองอ่าน 10 ของใช้ติดตัว น่ากลัวติดโรค โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า เกิดเป็นคนแม้ไม่พ้นเชื้อแต่ก็พยายามช่วยลดมันลงได้แค่เพียงไม่มองข้าม “ของติดตัว” และ “ของใกล้ตัว” ที่น่ากลัวได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าดังต่อไปนี้ครับ

คอนแทคเลนส์
ติดตัวติดที่ตา ขออย่าใส่นอนข้ามคืนหรือแม้เป็นชนิดที่ใส่นอนได้ก็ไม่ควรอยู่ดีเพราะกระจกลูกตามีอาหารกินอยู่ทางเดียวคืออากาศ ด้วยมันปราศจากเส้นเลือดเลี้ยงจึงเป็นของที่ควรเปิดโล่งให้รับลมจะดีกว่าครับ

หมวกกันน็อค กับที่คาดผม
ของติดศีรษะที่นำสิวมาให้ได้ โดยเฉพาะในหมวกกันน็อค ส่วนที่คาดผมหรือที่รัดผมนั้นจะทำให้ผมร่วงง่ายกลายเป็นคนผมบางไปโดยไม่รู้ตัว ขอให้ใช้หมวกกันน็อคตากแดดบ้าง ส่วนที่รัดผมขอพักไว้เวลาวันหยุดบ้างก็ได้ครับ

เหล็กดัดฟัน-ฟันปลอม
ของที่ติดอยู่ในช่องปากเช่นนี้ดึงเข้าดึงออกแต่ละทีก็เหมือนเติมเชื้อใส่เข้าไป เป็นของที่มีซอกมุม ทำความสะอาดยาก หากไม่แน่ใจเสียแล้วก็จะทำให้เชื้อสะสมอยู่ที่เหงือกกลายเป็นโรคคลาสสิกอย่างรำมะนาดหรือปริทนต์ได้
สร้อยคอ สร้อยแขน
ของที่แสนใกล้ตัวและราคาแพงเช่นนี้ไม่ได้การันตีความไม่ป่วย ด้วยสร้อยที่เป็นโลหะจำพวก “นิเกิล” และ “โรเดียม” มีโอกาสกระตุ้นภูมิได้ในผู้ที่ไวต่อมันกลายเป็นผื่นแดงมีอาการคัน ส่วนในท่านที่ใส่สร้อยที่เป็นเชือกหรือวัสดุธรรมชาติก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อได้ดีตามเส้นใยที่ว่านั้นต้องระวังเชื้อรากันด้วย

กระเป๋าถือ
ม่ว่าจะสะพายไขว้หน้าราคาเรือนแสนหรือกระเป๋าสตางค์ใบจ้อยกะร่อยกะหริบก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อได้พอกัน อย่าลืมว่ามันเป็นส่วนที่ต้องออกไปท่องโลกกว้างพร้อมกับตัวท่านทุกวัน แต่กลับไม่ค่อยได้อาบน้ำท่าทำความสะอาดเหมือนคน เพราะไม่อย่างนั้นหนังอาจเสื่อมเร็ว ดังนั้นควรระวังเรื่องความชื้นและกระเป๋าที่มีซอกหลืบเยอะให้ดี
มืออนามัย
แม้จะใส่เพื่อความสะอาดแต่ก็อาจป่วยได้โดยเฉพาะถุงมือยางที่เรียกว่า “ลาเท็กซ์” ทั้งในบุคคลากรแพทย์หรืออาชีพที่ต้องใส่ถุงมือทำงาน จะมีอาการ “แพ้” ได้กลายเป็นตุ่มใสบ้างแดงบ้างแถมคันคะเยอ หรือเผลอๆเหงื่อออกก็ได้เชื้อราแถมตามง่ามนิ้ว พอถึงเวลาถอดถุงมือออกมาดูพุพองน่าสยองไป

นาฬิกาข้อมือ
ถือเป็นของติดตัวใส่กันตลอดทั้งในยามทำงาน,ออกกำลังกายหรือแม้ในเวลาอาบน้ำ ทำให้ซอกนาฬิกาเป็นบ้านอันผาสุกของเชื้อโรคได้ จึงอยากขอให้พักข้อมือบ้าง โดยการถอดนาฬิกาในเวลานอนและอาบน้ำเพราะนั่นคือช่วงที่เชื้อจะสะสมได้มากที่สุด รวมถึงแหวน,สร้อยและเครื่องประดับติดตัวอื่นด้วยนะครับ จะได้ทำให้เวลานอนคือเวลาพักผ่อนปลอดพันธนาการที่แท้จริง

ชั้นในและกางเกงเข้ารูป
รัดจนหน้าตูบแถมยังทำให้เจ็บป่วยจากโรคอย่างกรดไหลย้อนในกรณีใส่เสื้อรัด หรือกดเส้นประสาทจนหน้าขาชาอย่างกรณีใส่กางเกงขาเดฟรัดติ้วแล้วยังมีกระเป๋าสตางค์กดอีก ส่วนในกรณีที่ร้อนจัดมีเหงื่อออก เครื่องรัดกายที่แน่นตัวเช่นนี้จะเรียกทั้งเชื้อราผิวหนังแล้วยังตกขาวในสาวๆได้อีกด้วย

รองเท้า
เป็นแหล่งรวมดาวเชื้อโรคอย่างแท้จริงเพราะไปวิ่งไปเดินมาร้อยเอ็ดย่านน้ำแล้วพอถึงเวลากลับมาบ้านเหนื่อยก็ถอดทิ้งไว้เฉยๆรวมกันอยู่บนชั้นวาง หรืออย่างชีวิตชาวคอนโดฯที่ต้องใช้ที่ร่วมกันอย่างประหยัดก็ทำให้ชั้นวางเกือกแออัดราวกับมหกรรมย่อมๆซึ่งทำให้ชั้นวางรองเท้ากลายเป็นสวนสัตว์รวมเชื้อไปอย่างน่าตกใจ

อะไหล่กายเทียม
เช่น ข้อเข่าเทียม,ข้อสะโพกเทียม หรือหลอดลวดที่ไปถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ ล้วนแต่เป็นของที่มีอายุ แม้จะดูแลดีแค่ไหนก็ต้องมีวันเสื่อม ซึ่งอนัตตาแห่งอะไหล่มนุษย์เหล่านี้สั้นกว่าอวัยวะที่เป็นของออริจินัลดั้งเดิมอยู่มาก ด้วยว่าร่างกายจะสร้าง “ธาตุต้านของเทียม(Antibody)” ขึ้นมาทำให้เกิดปฏิกิริยาเสื่อมและเจ็บป่วยได้มากกว่าอวัยวะแท้ๆ
………นอกจากนั้นยังมีของใกล้ตัวที่ใช้เฉพาะกิจอีกเช่น แว่นตา,ยาดมและผ้าเช็ดหน้า ที่พาเชื้อโรคเช่นตาเจ็บ,ตาแดงและโรคหวัดมาได้ จะเห็นว่าของติดตัวและใกล้ตัวที่ว่ามานี้ถ้าใช้ดีมันก็จะเป็นส่วนส่งเสริมเราแต่ถ้าเผลอไปเมื่อไรมันก็อาจกลายเป็นพันธนาการแห่งชีวิตและเป็นพิษต่อตัวเราได้ ไม่เกี่ยวว่าเป็นของแพงของถูกแต่อย่างใดเลย
ที่มาจาก women.thaiza.com