วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ส้มตำปูดอง เอแคร์ ขนมจีน ตัวการก่อโรค



        สธ.แนะประชาชนเลี่ยงเมนู อาหารทะเลลวกจิ้มพร้อมกิน เนื้อปู-หอยแกะ ส้มตำปูดอง ลาบ ยำสุกๆดิบๆ ขนมเอแคร์ ขนมจีน พบเป็นตัวการก่อโรค อาหารเป็นพิษ มากเกือบร้อยละ 90
        รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนเลี่ยงเมนู อาหารทะเลลวกจิ้มพร้อมกิน เนื้อปู-หอยแกะ ส้มตำปูดอง ลาบ ยำสุกๆดิบๆ ขนมเอแคร์ ขนมจีน พบเป็นตัวการก่อโรค อาหารเป็นพิษ มากเกือบร้อยละ 90 ปีนี้พบผู้ป่วยแล้ว เกือบ 20,000 ราย อาการมักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารไปแล้ว 2-4 ชั่วโมง

        ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงฤดูร้อนนี้ นอกจากจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำใช้แล้ว ในด้านสุขภาพของประชาชนพบว่ามีความเสี่ยงป่วยจากอาหารและน้ำที่ไม่สะอาดได้ง่ายกว่าฤดูอื่นๆ อาจทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้ เชื้อโรคที่ก่อพิษในหน้าร้อนมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย อากาศยิ่งร้อน เชื้อยิ่งฟักตัวแพร่พันธุ์เร็ว
     
     ในการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ มีวิธีการประกอบกัน 3 ส่วน ส่วนแรกคือด้านอนามัยของประชาชนเอง แนะนำให้ตัดเล็บมือให้สั้น และดูแลความสะอาด ล้างมือทุกครั้งหลังจากเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร ส่วนที่ 2 คือการเลือกอาหาร ควรเลือกอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ขอให้หลีกเลี่ยงเมนูดังต่อไปนี้คือ ส้มตำปูดอง ส้มตำปูม้าสด อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสม หอยแมลงภู่/หอยแครงลวก เนื้อปูแกะสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ขนมเอแคร์ ขนมจีน ยำต่างๆ และอาหารสุกๆดิบๆทุกชนิด เช่นกุ้งพล่า ลาบก้อย เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะเสียง่าย เพราะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่
        ส่วนที่ 3 คือการเก็บรักษาอาหาร ต้องเก็บไว้ในที่เย็น เช่นตู้เย็น เพื่อชะลอการเติบโตเชื้อโรค หากเป็นอาหารข้ามมื้อเกิน 4 ชั่วโมงหลังปรุงเสร็จ ต้องอุ่นให้ร้อนหรือเดือดก่อนรับประทาน เพื่อให้ความร้อนฆ่าเชื้อโรคทุกชนิดก่อน
        ถ้าต้องเดินทางและสั่งอาหารกล่อง จะต้องเลือกจากร้านที่เชื่อถือได้ และกำชับให้ผู้ปรุง อย่าปรุงล่วงหน้านาน เลือกเมนูที่ไม่บูดหรือเสียง่าย เช่นไข่ต้ม หมูทอด ไก่ทอด ไม่ควรเป็นเมนูกะทิ ยำเป็นต้น เพราะจากการสอบสวนโรคในกลุ่มผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ พบเมนูดังกล่าวข้างต้นเป็นสาเหตุกว่าร้อยละ 90

        ทางด้านนายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า โรคอาหารเป็นพิษมักพบหลังจากที่กินอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนไปแล้วภายใน 2-4 ชั่วโมง พบได้ทุกวัย มักพบประชาชนและพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ เด็กในโรงเรียน กลุ้มงานเลี้ยงสังสรรค์ การชุมนุม กลุ่มทัศนาจร และกลุ่มที่อยู่ในชุมชนแออัดและมีแรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่ ที่เกี่ยวข้องชัดเจนคือการกินอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด สุขอนามัยส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี อาการของโรคนี้ได้แก่ ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ปวดมวนท้องรุนแรง อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้ และปวดศีรษะร่วมด้วย บางครั้งมีอาการถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูกคล้ายเป็นบิด

        นายแพทย์มานิตกล่าวต่อว่า เมื่อมีสมาชิกในบ้านเกิดอุจจาระร่วง ในการดูแลเบื้องต้น ควรให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือโออาร์เอส หากไม่มี สามารถใช้น้ำสไปรท์ใส่เกลือเล็กน้อยแทนได้ ให้ผู้ป่วยดื่มที่ละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หลังดื่มแล้ว 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้น ต้องรีบไปรับการรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลทันที








ที่มา ... กระทรวงสาธารณสุข

สมุนไพรจีน หาง่าย ดีต่อสุขภาพด้วย



          คนไทยเรามีคำสุภาษิต "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" แต่ถ้าเป็นตำรับจีนแล้ว อาหารทุกอย่างคือยาบำรุงร่างกายทั้งนั้นหากเรารู้จักและใช้อย่างถูกต้อง และ 10 อย่างนี้คืออาหารที่คนไทยเรารู้จักกันดี แต่คุณจะรู้มั้ยถึงสรรพคุณของมัน?
    1. เห็ดหลินจือ
        ในปี 2003 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ยืนยันว่าเห็ดหลินจือโดดเด่นในสรรพคุณของสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ป่วยเอดส์และมะเร็งบางรายจึงใช้เห็ดหลินจือในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เร่งการผลิตเม็ดเลือดขาว บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ชาย และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตหรือแพร่กระจายของเนื้องอกในร่างกาย อย่างไรก็ดี เห็ดหลินจืดมีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง เช่น อาจทำให้คลื่นเหียน คัน และหากกินมากเกินไป อาจกระตุ้นอาการบ้านหมุนก็ได้

   2. เก๋ากี้
        มีชื่ออินเตอร์ว่า "โกจิเบอร์รี่" (แต่คนไทยอาจจะคุ้นเคยกับชื่อภาษาจีนมากกว่า) เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ก็เต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินบี 2 วิตามิน และยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อีกด้วย แม้โดยรวมจะไม่มีการพิสูจน์ทางคลินิก แต่ก็เชื่อกันว่าเก๋ากี้มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ

    3. เกาลัดจีน
        เกาลัดต่างจากถั่วหรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ตรงที่มันมีไขมันน้อยมาก แต่กลับเป็นถั่วชนิดเดียวที่มีวิตามินซี เทียบเท่ากับมะนาว แน่นอนว่ามันเป็นพืชจึงไม่มีคอเลสเตอรอล เกาลัดจีนมีสารอาหารคล้ายข้าวกล้อง จึงมีคำกล่าวว่ามันคือ "ธัญพืชที่เกิดบนต้นไม้" ด้วยความที่มันมีกรดโฟลิก วิตามินซี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มันจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้ดีที่สุด นอกจากนี้ ชาวจีนโบราณยังเชื่อว่าเกาลัดจะช่วยให้ลมหายใจหวานสดชื่นอีกด้วย

    4. เก๊กฮวย
         ชาเก๊กฮวยถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านมานานในฐานะยาลดไข้ โดยมีสารอาหารทั้งวิตามินเอ วิตามินบี1 กรดอะมิโน ฟลาวานอยด์ เชื่อกันว่ามันจะช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอล "เลว" และบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก นอกจากนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ก็ยังเปิดเผยว่ามันมีสรรพคุณช่วยปกป้องระบบประสาทจากความแก่ชราหรืออาการบาดเจ็บต่าง ๆ ดังนั้น เป็นหนุ่มสาวก็ดื่มได้ประโยชน์ดีเช่นกัน

         Tip : เปลี่ยนจากชาฝรั่งมาดื่มชาเก๊กฮวยกันบ้าง โดยนำดอกเก๊กฮวยแห้งแช่ในน้ำร้อนประมาณ 5 นาที ก็จะได้ชาเก๊กฮวยสีเหลืองที่หอมกลิ่นดอกไม้
    5. แปะก๊วย
        เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหับสุภาพสตรีที่กำลังเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากมันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งอาจช่วยทำหน้าที่แทนฮอร์โมนที่ไม่สมดุลได้ นักวิจัยจึงเชื่อว่ามันมีสรรพคุณบรรเทาอาการของวัยของหลายอย่าง ได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคนอนไม่หลับ อัลไซเมอร์ และโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม การกินแปะก๊วย ก็อาจให้ผลข้างเคียง อย่างเช่น ท้องร่วง ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน เลือดไหลหรือผิวช้ำผิดปกติ หากมีอาการดังกล่าวก็ให้รีบไปพบแพทย์เสีย

    6. เห็ดหอม
        อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินซี โปรตีน และใยอาหาร เห็ดหอมอยู่ในตำรับยาจีนมานานกว่า 6 พ้นปี โดยเชื่อว่ามันสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เพราะมีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า Letinan คอยต่อสู้กับเชื้อไวรัสต่าง ๆ มันอัดแน่นไปด้วย L-Ergothioneine สารต้านอนุมูลอิสระ และดีต่อหัวใจ เนื่องจากมันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในเห็ดหอมมีสาร Purines หากกินมากเกินไปแล้วอาจทำให้มีการสะสมกรดยูริกจนเสี่ยงต่อโรคเกาต์ และนิ่วในไตอย่างมาก คนที่มีปัญหาไต หรือเกาต์จึงไม่ควรกินเห็ดหอม

    7. เมล็ดบัว
        เป็นแหล่งโปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส รวมถึงเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า L-lsoaspartyl Methyltransferase ซึ่งช่วยซ่อมแซมโปรตีนที่ถูกทำลาย นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าเมล็ดบัวเป็นอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ชราได้ในตำรับจีนเชื่อว่า รสหวานโดยธรรมชาติของเมล็ดบัวจะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วง และช่วยกล่อมเกลาจิตใจ ทำให้นอนหลับสบาย ส่วนแกนของเมล็ดนั้นมีรสขมและมีฤทธิ์เย็น จึงดีต่อหัวใจ โดยการช่วยขยายหลอดเลือดและลดความดันโลหิต อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยมีสรรพคุณรักษาอาการท้องร่วง คนที่ท้องผูกจึงควรหลีกเลี่ยงเมล็ดบัวโดยเด็ดขาด

    8. โสม
       หากพูดกันถึงสมุนไพรจีนคงขาดโสมไปไม่ได้โสมแดงของจีนนั้นถูกใช้ในทางการแพทย์มาหลายศตวรรษ และในปัจจุบันก็ยังมีการใช้อย่างแพร่หลาย ในสมัยโบราณเชื่อว่าโสมเป็นยาอายุวัฒนะส่งเสริมปัญญาและความแข็งแรง แม้ว่ายังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่การศึกษาจาก University of Maryland ก็ชี้ว่าโสมสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้จริง ช่วยลดคอเลสเตอรอลเลว และช่วยให้กระปรี้กระเปร่า อย่างไรก็ดี โสมไม่เหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง คนที่เป็นเบาหวาน สตรีมีครรภ์ และหญิงสาวที่กำลังให้นมบุตร

    9. รากชะเอม
        นอกจากใช้ในตำรับจีนแล้วยังสาวต้นตอไปได้ถึงสมัยโรมันซึ่งมีการต้มรากชะเอมเพื่อบรรเทาอาการไอ หอบ เจ็บคอ โรคปอดอื่น ๆ และเชื่อว่ามันจะช่วยชะล้างภายในลำไส้ได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับผู้หญิงวัยทองเนื่องจากมันมีไฟโตเอสโตรเจนด้วย อย่างไรก็ตาม การกินรากชะเอมมาก ๆ ก็อาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรกินพร้อมกับยาขับปัสสาวะ เช่นเดียวกับที่คนเป็นโรคเบาหวานกับโรคตับ ควรจะหลีกเลี่ยงรากชะเอมเหมือนกัน

    10. เฉาก๊วย
        ด้วยเหตุที่มันดำ แวววาว และเด้งดึ๋ง เป็นที่สุด คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนึกถึงเฉาก๊วยในแง่ของสมุนไพรหรืออาหารเพื่อสุขภาพ เฉาก๊วยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Black Jelly หรือ Grass Jelly ซึ่งตัวมันเองเป็นอาหารที่มีธาตุหยิน หรือเป็นอาหารเย็นนั่นเอง ทำให้เหมาะจะกินในหน้าร้อน และบรรเทาอาการปวดท้อง คลื่นเหียน อาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ ยังมีใยอาหารชนิดละลายในน้ำ ซึ่งอาจจับเอาน้ำตาลและไขมันออกมาได้ มันจึงช่วยป้องกันเบาหวานและโรคหัวใจได้อีกทางหนึ่ง (ตราบใดที่คุณไม่ใส่น้ำเชื่อมเยอะมากเกินไปละก็นะ)













ที่มา ... Lisa

10 เคล็ดลับลดอ้วน...เมื่อเป็นเบาหวาน



         การลดน้ำหนักเป็นเรื่องหนักอกหนักใจของคนเป็นโรคเบาหวานจริง ๆ ค่ะ เพราะต้องระวังรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป การระมัดระวังเรื่องอาหารจึงยากกว่าปรกติ
        ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับลดน้ำหนักที่เหมาะกับคนเป็นเบาหวานโดยเฉพาะค่ะ
     1. เลือกเวลาที่เหมาะสม...
        คุณต้องพร้อมที่จะทำการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และสิ่งเดียวที่คุณสามารถทำได้ ตอนนี้ก็คือบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่คุณจะลดน้ำหนักอย่างจริงจัง

    2. กินผักมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ...

         เพียงแต่ลดแป้งและเพิ่มผักหรือโปรตีนจากธัญพืชใน แต่ละมื้ออาหาร ก็เป็นวิธีหนึ่งค่ะที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีและปลอดภัย

     3. ลดอาหารทอด ๆ ...
        เปลี่ยนจากของทอดๆ แล้วหันมากินอาหารประเภท ต้ม อบ ย่างดูนะคะ

    4. หาเพื่อนออกกำลังกาย
        วิธีนี้จะช่วยให้การออกกำลังกายของคุณง่ายและดูจริงจังมากขึ้น เพราะว่าการที่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันจะทำให้คุณอยากไปถึงยังเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ ที่สำคัญเขาจะเป็นกำลังใจที่ดีระหว่างที่คุณกำลังลดน้ำหนักด้วย

    5. ปรับวิถีชีวิตเดิม ๆ ...
        ถ้าต้องการที่จะลดน้ำหนักจริงๆ คุณก็จะต้องปรับการใช้ชีวิตบางอย่างค่ะ เช่น ใน 1 วัน ลองออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วประมาณ 30 นาที หรือเปลี่ยนจากการขับรถ หรือนั่งรถกลับบ้านมาเป็นเดินกลับบ้านแทน “หากคุณทำแบบนี้เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ก็จะเท่ากับคุณได้ออกกำลังกาย 60 ถึง 90 นาทีในแต่ละครั้งเลยล่ะค่ะ

    6. เลือกออกกำลังกายที่ชอบ...
        เริ่มจากการเลือกออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ชอบส่วนตัวก่อนก็ได้ เช่น ชอบที่จะเต้นก็ลองไปสมัครคลาสเรียนเต้นจริงจังไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเต้นรำ เต้นฮิปฮอป ก็สนุกไม่แพ้กัน หรือจะเลือกช้อปปิ้ง ปั่นจักรยาน หรือเดินป่าก็ตามใจชอบค่ะ

    7. ระวังน้ำตาลต่ำ...

        ถ้ารู้สึกว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการหาลูกอมน้ำตาลกลูโคสมาอมไว้ ซึ่งควรจะมีติดกระเป๋า ติดบ้านไว้เสมอ แต่ควรอมแค่ให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ไม่ควรกินมาเกินไปนะคะ

    8. เลี่ยงกินอาหารแปรรูป...

       หลีกเลี่ยงอาหารที่แปรรูปในชูเปอร์มาร์เก็ต แล้วหันมากินของสดๆ เช่น ผักสด ผลไม้สดแทนดีกว่า

    9. รักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด...
        หากปล่อยห้ำตาลในเลือดต่ำมากๆ น้ำหนักคุณอาจจะลดลงอย่างมาก ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณไม่ดีแล้วล่ะ ซึ่งทุกครั้งที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ คุณต้องรักษาภาวะน้ำตาลในเลือด โดยการกินอาหารว่าง

    10. อย่างลืมตั้งเป้าหมาย...
        คุณควรตั้งเป้าหมายของการลดน้ำหนักไว้ แล้วพยายามทำให้ได้ เช่น หากคุณตั้งไว้ว่าใน 1 สัปดาห์คุณจะกำจัดแคลอรี่ให้ได้ 500 แคลอรี่ต่อวัน แล้วคุณทำได้จริงตามนั้น ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะนำคุณไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ค่ะ













ที่มา .. รักลูก

ประโยชน์ 10 ประการของไข่



        ไข่ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนทุกชนชั้นทุกชาติ จากประโยชน์ที่ไข่มอบให้กับร่างกายของคนเรานั่นเอง และต่อไปนี้คือ ประโยชน์ 10 ประการจากการบริโภคไข่ ซึ่งบางอย่างคุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
     1. ไข่เป็นอาหารที่ดีสำหรับดวงตา ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานไข่วันละฟองอาจจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ทั้งนี้เนื่องมาจากสารคาโรทีนอยด์ที่อยู่ในไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่พบบริเวณตา โดยฉาบอยู่บนผิวของเรตินา เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งสองอย่างนี้โดยตรงจากไข่มากกว่าอาหารชนิดอื่น

     2. ไข่ทำให้เป็นต้อกระจกน้อยลง จากผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งนักวิจัยยังพบว่า คนที่กินไข่ทุกวันมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกน้อยลง อันเนื่องมาจากลูทีนและซีแซนทีนในไข่ดังได้กล่าวมาแล้ว

     3. ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด

     4. ผลจากการทำวิจัยโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดพบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการบริโภคไข่กับการเกิดโรคหัวใจ แถมยังมีผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตันในสมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

     5. ไข่เป็นแหล่งโคลีนที่ดี โดยโคลีนอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี จัดเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของสมอง ระบบประสาท และระบบไหลเวียนของเลือด โดยไข่ 1 ฟองจะมีโคลีนมากถึง 300 ไมโครกรัม

     6. ไขมันในไข่มีคุณภาพดี ไข่ 1 ฟองมีไขมันอยู่ 5 กรัม และมีเพียง 1.5 กรัมเท่านั้นที่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว

     7. แม้ว่าออกจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่กลับพบว่า การบริโภคไข่แต่พอสมควรจะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อปริมาณคอเลสเตอรอล มิหนำซ้ำยังมีการศึกษาพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การบริโภคไข่วันละ 2 ฟองเป็นประจำวันไม่มีผลกระทบต่อระดับไขมันในร่างกาย มิหนำซ้ำอาจจะช่วยทำให้ไขมันดีขึ้น โดยผลการวิจัยกล่าวว่า ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับคอเรสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคอเลสเตอรอลที่อยู่ในอาหาร

     8. กินไข่ได้วิตามินดี เพราะไข่เป็นอาหารเพียงชนิดเดียวที่เป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ

     9. ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลงร้อยละ 44

     10. ไข่ทำให้เส้นผมและเล็บมีสุขภาพดี เพราะว่าไข่มีซัลเฟอร์สูง รวมถึงยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด หลายคนจึงพบว่าผมยาวเร็วขึ้นหลังจากที่เพิ่มไข่เข้าไปในอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เคยขาดอาหารที่มีซัลเฟอร์หรือวิตามินบี12 มาก่อน

                  การบริโภคไข่ที่เหมาะสม                  แม้ว่าไข่จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่หลายคนก็ยังกังวล ฉะนั้นการกินไข่ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี โดยคนแต่ละวัยสามารถบริโภคไข่ได้ดังนี้

          - เด็กอายุ 1 ปีจนถึงเด็กวัยเรียนสามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟอง
          - ผู้ใหญ่ที่มีภาวะร่างกายปกติสามารถบริโภคไข่ได้ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
          - คนวัยทำงานสุขภาพดี สามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟองทุกวัน ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลและไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
          - กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงสามารถบริโภคไข่เพียง 1 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์










ที่มา ... HealthToday

เมนูของคนเป็นโรคตาแห้ง



          โรคตาแห้งไม่ใช่จะทำให้คุณเคืองตาอย่างเดียว แต่ในระยะยาวจะทำให้กระจกตาเป็นแผลได้ รีบๆ มากินอาหารป้องกันโรคตาแห้งไว้ก่อนดีกว่า
      กล้วย ประโยชน์ได้จากการกินกล้วย ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เพราะผลไม้ชนิดนี้มีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้ ร่างกายเก็บน้ำได้ดีขึ้น ตาแห้งๆ จะได้กลับมาชุ่มฉ่ำ เลิกระคายเคือง

      ถั่วเปลือกแข็ง เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ถั่วพิตาชิโอ ถั่วปากอ้า เป็นต้น ถั่วประเภทนี้อุดมไป ด้วยโอเมก้า 3 กที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำตา ยิ่งกินมากน้ำตาก็มากตามไปด้วย

     ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่าหรือแซลมอน เป็นอาหารทะเลที่พกโอเมก้า 3 มาเพียบ แถมยังช่วย บำรุงสมอง พัฒนาความจำ

      น้ำมันปอหรือน้ำมันเมล็ดลินิน อาจจะใหม่อยู่บ้างสำหรับวงการอาหารเพื่อสุขภาพ แต่รับรองว่าน้อง ใหม่เจ้านี้มาแรง เพราะมีกรดวิตามินที่สำคัญที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้ดีขึ้น


ที่มา ... spicy

น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ



         ปัญหากลิ่นปากเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และแสดงถึงปัญหาสุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งบริเวณศรีษะ และลำคอ
         การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้ 
      1. ขิง และมะนาว ใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า

      2. ใบฝรั่ง ล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก



        แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายในอย่างแท้จริง




ที่มา ... ชีวจิต

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

อยากรู้เคล็ดลับลดน้ำหนักทันใจหรือคะ นอกจากการออกกำลังและกินอาหารที่มีประโยชน์แล้ว เราหยิบเทคนิคสนุก ๆ ที่อาจฟังดูแปลก ๆ แต่ได้ผลมาฝาก
    คุยกับตัวเอง
         ถ้าเดินอยู่ดี ๆ แล้วเห็นร้านไอศกรีมครีมฟ่องชวนน้ำลายสอ จงประกาศกับตัวเอง (ให้คนอื่นได้ยินด้วย) "ฉันไม่หิว แต่ฉันจะกิน"

         ทำไมถึงได้ผล
         การห้ามตัวเองกินอาหารที่โปรดปรานที่สุด อาจนำไปสู่การยัดทะนานในภายหลัง แต่การบรรยายถึงความอยากกินนั้นอาจสร้างความแตกต่างระหว่างไอศกรีมถ้วยเล็ก ๆ กับพาร์เฟต์ชามโตได้

          ดร.จีน คริสเตลเลอร์ จาก Center of Mindful Eating ในนิวแฮมเชียร์ ชี้ว่า "เมื่อคุณพูดออกมาเสียงดัง ว่าคุณอยากกิน คุณอาจจะรู้ว่าทำไมถึงอยาก และรู้ตัวว่ากำลังกินอะไรอยู่"

    กินจากจาน
        ความจริงก็คือ ถ้าคุณใช้จานและช้อนส้อมนั่งลงกินของว่างอย่างเป็นที่เป็นทาง คุณอาจจะกินน้อยลง

         ทำไมถึงได้ผล         หากเรายืนกิน หรือใช้เวลาน้อยกว่า 10 นาที เรามักจะคิดถึงอาหารจานนั้นในลักษณะเป็นของว่าง แต่ในทางตรงกันข้าม การนั่งลงกิน 30 นาที จะทำให้เรานับว่า จานนั้นเป็นมื้ออาหารมากกว่า ส่งผลให้รู้สึกอิ่มและไม่ขอเพิ่ม หากมีโอกาสก็น่าจะใช้จานเซรามิกสวย ๆ ให้รู้สึกเหมือนได้กินอาหารมื้อใหญ่

    เริ่มด้วยส้ม
         ก่ อนนั่งกินข้าวกลางวัน หยิบส้มมาปอกกินเสียก่อนหนึ่งผล

          ทำไมถึงได้ผล           ดร.ซูซาน อัลเบอร์ ผู้เขียน Eat,Drink and be Mindful ชี้ว่า "ส้มต้องใช้เวลา และความพยายามในการปอก นี่ทำให้คุณช้าลง และช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส คุณจึงรู้ว่ากำลังกินอะไรอยู่โดยอัตโนมัติ" นอกจากนี้ ผลไม้ที่มีน้ำมากยังช่วยให้อิ่มก่อนกินอาหารหนัก ๆ การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อย อาจมีผลให้คุณหิวมากกว่าที่เป็นจริง

    ใช้เงินสด
        ไม่ว่าจะเป็นแฮปปี้อาวน์ กินข้าวนอกบ้าน หรือซื้อกาแฟที่ร้านอาหาร พกเงินสดและเหรียญดีกว่ารูดบัตรนะ

         ทำไมถึงได้ผล
         นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ในนิวยอร์ก พบว่า คนที่จ่ายเงินสดนั้นจะซื้อของได้อย่างชาญฉลาดกว่าคนที่ใช้บัตรเครดิต หรือเดบิต โดย ดร.ไบรอัน วานสกิ้น ผู้เขียน Mindless Eating ชี้ว่า ธนบัตรนั้นสามารถทำให้เราคิดแล้วคิดอีกก่อนที่จะจ่ายเงิน และคำนึงถึงสารอาหารที่ได้รับมากกว่าด้วย "ดังนั้น คนที่ใช้จ่ายแบบนี้ก็อาจจะเลือกแอปเปิ้ลแทนที่จะเป็นคุกกี้ได้"

    กินเงียบ ๆ
        หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ให้ลองปิดโทรทัศน์ ปิดไอพอด และขอให้คนในครอบครัวกินข้าวอย่างสงบ และดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร

         ทำไมถึงได้ผล
         การศึกษาก่อนหน้านี้แสดงว่า ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดัง คนมักจะเร่งสปีดการกิน ทำให้กว่าจะรู้สึกอิ่มก็กินมากเกินไปแล้ว ส่วนเพลงช้า ๆ ก็ไม่ใช่ทางแก้แต่อย่างใด เพราะเพลงนุ่ม ๆ นั้นจะหน่วงให้เรานั่งนาน และกินมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การลดเสียงในระหว่างมื้อนั้นอาจจะช่วยขับรถชาติ กลิ่น และสัมผัสของอาหาร ให้คุณกินอย่างสงบและมีความสุขกว่าเดิม

    เล่นโยคะ
         หยิบเสื่อโยคะ แล้วลองอนุสราโยคะที่เน้นการทำสามาธิ และการจัดระเบียบร่างกาย

          ทำไมถึงได้ผล
          การศึกษาซึ่งเผยแพร่ในวารสาร American Dietetic Association ชี้ว่าคนที่เล่นโยคะนั้นจะมีดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่าคนที่ไม่ได้เล่น แต่ไม่ได้เป็นเพราะการเผาผลาญแคลอรีหรอก คนเล่นโยคะมักจะมีสติกับการกินมากกว่า จึงไม่ค่อยจะยัดทะนาน และเนื่องจากการเล่นโยคะจะสอนให้คนเราตระหนักถึงร่างกายตัวเองให้ทนต่อความไม่สบายที่เกิดขึ้น การทนความยั่วยวนของบราวนี่ชิ้นนั้นจึงเป็นเรื่องเล็ก เมื่อคิดว่าคุณสามารถยืนท่านกพิราบได้นาน 6 นาที
ที่มา ...Lisa